ถ้าไม่อยาก ท้องอืด หรือมีแก๊สในกระเพาะ 7 อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง !

ท้องอืด อาการท้องอืดคือภาวะของระบบย่อยอาหารที่มีลมหรือแก๊สมากเกินไปทำให้รู้สึกแน่นท้อง ส่วนใหญ่มักเกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานเผ็ดมากเกินไป ดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานยาปฏิชีวนะ จึงทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่สะดวกนั่นเอง บอกลาปัญหาแน่นท้องหรือมีแก๊สในกระเพาะด้วยการลด ละ เลิกการรับประทานอาหารเหล่านี้!หลายคนอาจไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน เรากลืนแก๊สทุกครั้งที่ดื่มน้ำหรือกินอาหาร โดยเฉพาะอาหาร 7 ชนิดนี้ที่ทำให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหาร ส่งผลให้เราเรอหรือผายลมบ่อยครั้ง อาหารเสริมธาตุเหล็ก

แม้ว่าเราจะพิจารณาว่า นี่คือธรรมชาติของร่างกายในการขับลม แต่! หากมีก๊าซมากเกินไปก็อาจทำให้ท้องอืดได้ อิจฉาริษยาทำให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหารซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงในที่สุด รวมถึงผู้ที่มีอาการลำไส้แปรปรวน กรดไหลย้อน และแผลในกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งทางเดินอาหาร โดยจะไปกระตุ้นก๊าซในระบบทางเดินอาหารมากกว่าปกติ

ผักตระกูลกะหล่ำ

ท้องอืด ผักบางชนิด เช่น กะหล่ำดาว บรอกโคลี กะหล่ำปลี หน่อไม้ฝรั่ง และดอกกะหล่ำ อาจทำให้เกิดแก๊สส่วนเกินในกระเพาะได้ เนื่องจากมีน้ำตาลราฟฟิโนสเชิงซ้อนเช่นเดียวกับถั่ว โดยเฉพาะสำหรับคนชอบทานดิบๆ ดังนั้นจึงควรปรุงให้สุกดีกว่ากินดิบๆ อาหารที่มีไฟเบอร์สูง คือ 

ผลิตภัณฑ์จากนม

แลคโตสคือน้ำตาลที่พบในนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส โยเกิร์ต และไอศกรีม คนที่ร่างกายผลิตเอนไซม์แลคเตสไม่เพียงพอจะมีปัญหาในการย่อยแลคโตสและอาจเกิดอาการแพ้แลคโตสได้ S การแพ้แลคโตสอาจทำให้ร่างกายผลิตก๊าซได้มากขึ้น ดังนั้นควรหันมารับประทานนมจากพืช เช่น นมอัลมอนด์ หรือนมถั่วเหลืองแทนนมวัวมีโปรตีนจำนวนมากที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ สำหรับน้ำนมแม่นั้นส่วนใหญ่จะมีโปรตีนที่เรียกว่าอัลฟ่าแลคตาบูมินและเบต้าเคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ร่างกายมนุษย์ย่อยได้ง่ายแต่ในนมวัวและนมจากสัตว์อื่น ๆ อาหารเสริมธาตุเหล็ก

มีโปรตีนที่เรียกว่าเบต้าแลคโตโกลบูลินและอัลฟ่าเคซีนเป็นส่วนประกอบหลักซึ่งร่างกายมนุษย์ของเราไม่มีเอนไซม์ย่อยอาหารหรือย่อยยาก โมเลกุลอัลฟ่าและเบต้าจะคล้ายกันแต่ต่างกัน เหมือนมือขวาและมือซ้าย หรือชอบเมื่อเราส่องกระจก เวลาที่ร่างกายมนุษย์ใช้ในการย่อยอาหารให้เป็นสารอาหาร เอนไซม์อาหารจะต้องจับตัวกับอาหารได้ดี

ถั่วต่างๆ

ถั่วมักมีน้ำตาลราฟฟิโนสเป็นจำนวนมาก ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้เป็นน้ำตาลเชิงซ้อนที่มักทำให้ร่างกายมีปัญหาในการย่อย เพราะเมื่อน้ำตาลราฟฟิโนสผ่านเข้าไปสู่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ จะไปทำปฏิกิริยากับแบคทีเรีย ทำให้เกิดแก๊สไฮโดรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทน ซึ่งแก๊สทั้งหมดนี้จะถูกขับออกทางทวารหนักและทำให้เราผายลมนั่นเอง

หัวหอม

ในหัวหอมนั้นมีน้ำตาลธรรมชาติที่เรียกว่าฟรุสโตส เป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่พบในหัวหอมใหญ่ ซึ่งออกฤทธิ์เช่นเดียวกับน้ำตาลราฟฟิโนสและซอร์บิทอล ทำให้เกิดปัญหาต่อช่องท้องของเรา เนื่องจากพืชผักตระกูลหอม ไม่ว่าจะเป็นต้นหอม หัวหอมแดง และหัวหอมใหญ่ มักดูดซึมในลำไส้ได้น้อย และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำในลำไส้ ส่งผลให้เกิดแก๊สและท้องอืดตามมาได้

ผลไม้ตระกูลแอปเปิ้ล

ผลไม้ที่อยู่ในตระกูลของแอปเปิ้ล เช่น แอปเปิ้ล ลูกแพร์ ลูกพีช สาลี่ ฝรั่ง และชมพู่ เป็นต้น เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลแอลกอฮอล์ตามธรรมชาติ ซึ่งร่างกายมักจะมีปัญหาในการย่อยน้ำตาลชนิดนี้ แถมยังมีเส้นใยที่ละลายน้ำได้ ซึ่งเป็นเส้นใยที่เมื่อผ่านลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียจะย่อยสลายและเกิดเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทน ทำให้เรารู้สึกแน่นท้องได้

น้ำอัดลม

น้ำอัดลมและเครื่องดื่มประเภทโซดา อาจเพิ่มปริมาณของแก๊สในระบบทางเดินอาหารของเราได้ เนื่องจากในน้ำเหล่านี้มีกรดคาร์บอนิก เมื่อกรดชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายก็จะกลายเป็นแก๊สสะสมอยู่ในกระเพาะอาหาร เมื่อแก๊สไหลย้อนกลับขึ้นมาทางปาก จึงทำให้เรามีอาการเรอออกมาได้ นอกจากอาการเรอแล้ว ในบางครั้งอาจทำให้เกิดท้องอืดได้ น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมและเป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมากที่มักจะดื่มเมื่อรู้สึกกระหายน้ำ พวกเขาให้เหตุผลว่าการดื่มโซดาทำให้คุณรู้สึกสดชื่นและทำให้คุณเย็นลงได้ อาหารที่มีไฟเบอร์สูง คือ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงฤดูร้อน คุณดื่มโซดาทุกวัน แม้ว่าลึกๆ แล้วคุณจะรู้ว่าโซดาไม่ดีต่อร่างกายของคุณก็ตาม นอกจากนี้การดื่มโซดายังทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอีกด้วย วันนี้ Kapook.com จะพาทุกคนมาดูอันตรายของน้ำอัดลม ซึ่งถ้าไม่อยากให้สุขภาพต้องทนต้องอ่านเรื่องนี้

แตงโม

น้ำจากแตงโมอุดมไปด้วยน้ำตาลฟรุกโตส จะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง ทำให้ย่อยอาหารไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้มีปัญหาในระบบย่อยอาหาร เช่น แน่นท้อง ท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องเสีย โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวน และโรคกรดไหลย้อนได้ ท้องอืด

บทความที่เกี่ยวข้อง